Tuesday, July 9, 2019

ตัดเข้าในแล้วปั่นโค้งๆ! ส่องเส้นทางค้าแข้งของชายที่ชื่อ ‘อาร์เยน ร็อบเบน’

“เขาได้บอล เลี้ยงจี้เข้าหาคู่แข่ง เลี้ยงตัดเข้าในแล้วกดด้วยซ้าย ตูม!” นี่คือเสียงพากย์ที่เรามักจะได้ยินเวลาที่ชายผู้นี้สัมผัสลูกบอลบนสนามหญ้า แต่ในฤดูกาลหน้าเราจะไม่เห็นชายผู้นี้กับลีลาอันเป็นเอกลักษณ์อีกต่อไป หลังจาก อาร์เยน ร็อบเบน ประกาศแขวนสตั๊ดในวัย 35 ปี
อาร์เยน ร็อบเบน เกิดในครอบครัวที่มีคุณพ่อ “ฮานส์” เป็นเอเย่นต์ฟุตบอล และคุณแม่ “มาร์โย” เป็นนักพูดชื่อดัง ซึ่งเด็กชายอาร์เยนไม่สนใจการเรียนแม้แต่น้อย และมักจะติดสอยห้อยท้ายคุณพ่อทุกครั้งที่ออกไปคุยงานเรื่องฟุตบอล ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเขาสนใจเรื่องฟุตบอลตั้งแต่จำความได้
เรื่องลีลาลูกหนัง หนูน้อยอาร์เยน ถือเป็นว่า “สุดในรุ่น” เขาเป็นเด็กอายุน้อยสุดที่ถูก วีล โคร์เวอร์ นักเทคนิคฟุตบอลเจ้าของโปรแกรมสอนบอลเด็กชื่อดังอย่าง “โคร์เวอร์ โค้ชชิ่ง” เชิญไปร่ำเรียนทักษะลูกหนัง มันเหมือนการเสริมเขี้ยวเล็บให้กับ ร็อบเบน ตั้งแต่อายุยังน้อย เขาขยับจากสนามบนท้องถนนสู่สนามบอลในโรงเรียนสู่ทีมเยาวชนในหมู่บ้านอย่าง วีวี เบดุม ซึ่ง ณ เวลานั้น ร็อบเบน มักจะใช้ความคล่องตัวและโชว์ทักษะเหนือชั้นเล่นงานเพื่อนๆ เพียงเพราะเขารู้สึกสนุกไปกับมัน จนมาวันหนึ่งวันที่เขาต้องก้าวไปอีกขั้นในทีมเยาวชนชื่อดังในบ้านเกิดอย่าง โกรนิงเก้น
“ผมจำได้ว่าแม่เรียกผม 2-3 รอบขณะที่ผมเรียนหนังสืออยู่ แม่บอกว่า โกรนิงเก้น เรียกผมไปเล่นในทีมของพวกเขา ผมไม่ลังเลแม้แต่น้อยทั้งที่ไม่เคยซ้อมร่วมกับทีมชุดใหญ่ของพวกเขาเลย”
เกมนั้นโค้ชของ โกรนิงเก้น ให้ ร็อบเบน นั่งเป็นตัวสำรองข้างสนาม แต่ก็เพียงพอแล้วที่จะสร้างความสุขให้กับเพื่อนๆ และยิ่งทวีคูณขึ้นเรื่อยๆ เพราะหลังจากนั้นเพื่อนๆ ของเขาได้เห็น ร็อบเบน วาดลีลาตามโทรทัศน์และหน้าหนังสือพิมพ์แทบทุกฉบับ นับตั้งแต่ประเดิมสนามชุดใหญ่ในปี 2000 ด้วยผลงานยิง 8 จาก 46 เกม ตลอดสองฤดูกาลกับ โกรนิงเก้น จนไปเตะตา พีเอสวี ไอน์โฮเฟ่น ที่ลงทุนเซ็นสัญญาล่วงหน้าด้วยเม็ดเงิน 3.9 ล้านปอนด์
ที่ พีเอสวี เขาได้ประสานงานคู่กับ มาเตย่า เคซมัน ดาวยิงชาวเซิร์บ พาทีมคว้าแชมป์เอเรดิวิซี่ตั้งแต่ฤดูกาลแรก และการประสานงานอันโบ๊ะบ๊ะทำให้ทั้งคู่ถูกแฟนบอลยกให้เป็น “แบทแมนแอนด์โรบิน” ในถิ่นฟิลิปส์ สเตเดี้ยม
ฤดูกาล 2004-05 ร็อบเบน เกือบย้ายซบ แมนฯ ยูไนเต็ด หลังมีการนัดพบกับ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ซึ่งการเจรจาเป็นไปได้ด้วยดี แต่สุดท้ายเป็น เชลซี ที่ได้ตัวเขาไป ณ เวลานั้น สิงห์บลูเพิ่งสถาปนาตัวเองเป็นทีมเศรษฐีรายใหม่ได้ไม่นาน พวกเขาวางโปรเจ็คต์อัพเกรดทีมด้วยการดึง โชเซ่ มูรินโญ่ กุนซือหนุ่มไฟแรงมากุมบังเหียน พร้อมกับดึงผู้เล่นอย่างดิดิเย่ร์ ดร็อกบา, ฟีเตอร์ เช็ก, ริคาร์โด คาร์วัลโญ่, เปาโล เฟร์เรร่า รวมถึง อาร์เยน ร็อบเบน และ มาเตย่า เคซมัน โดยหวังว่าคู่หู “แบทแมนแอนด์โรบิน” มาเฉิดฉายในถิ่นสแตมฟอร์ด บริดจ์
แต่คู่หู “แบทแมนแอนด์โรบิน” ไม่สามารถช่วยกันทำผลงานได้น่าพึงพอใจสักเท่าไหร่ โดย ร็อบเบน บาดเจ็บกระดูกเท้าแตกตั้งแต่ยังไม่ได้ออกสตาร์ทฤดูกาลแรกกับสิงห์บลู แม้ลีลาการลากเลื้อยสร้างความตื่นตาตื่นในให้กับแฟนลูกหนังไม่น้อย เป็นหนึ่งในชุดที่พา เชลซี คว้าแชมป์ลีกสูงสุดในรอบ 50 ปี แต่ด้วยความที่เขาเจ็บออดๆ แอดๆ ทำให้ลงสนามไปเพียง 67 เกม จากสามฤดูกาลที่ลงเล่นในถิ่นสแตมฟอร์ด บริดจ์ โดยฤดูกาล 2006-07 เชลซี ปรับมาเล่นในระบบกองกลางรูปเพชร ซึ่งปีกธรรมชาติอย่าง ร็อบเบน เริ่มอยู่ลำบากขึ้น ได้โอกาสลงสนามน้อยลง สุดท้ายโดยขายไปยัง เรอัล มาดริด ในปี 2007
ที่นั่น ร็อบเบน จากที่เล่นปีกซ้ายแบบธรรมชาติ กล่าวคือ ใช้ความเร็วและความคล่องพาบอลไปยังสุดเส้นหลังเพื่อเปิดบอลเข้าไปในกรอบเขตโทษ เขาถูกโยกมาเล่นตรงกลางและริมเส้นฝั่งขวาบ่อยขึ้น จนเป็นเหตุให้เจ้าตัวเริ่มเปลี่ยนสไตล์การเล่นเป็นพยายามเลี้ยงตัดเข้าในด้วยเท้าซ้ายมากยิ่งขึ้น
“ตอนเด็กผมชอบเล่นปีกซ้ายและพยายามยืนติดริมเส้นและโยนบอลเข้ากรอบเขตโทษ จนย้ายมาเล่นให้กับ เรอัล มาดริด ฤดูกาลกับที่นั่นผมมักโดนโยกไปเล่นปีกขวา และพยายามเลี้ยงตัดเข้าใน ดังนั้นผมทำประตูได้มากมาย หากคุณทำประตูและคว้าแชมป์ได้ แฟนบอลก็มักจะมีความสุขกับคุณอยู่แล้ว”
ฤดูกาลที่สองในซานติอาโก้ เบอร์นาเบว ปีกอัศวินสีส้มยิง 8 ประตู 9 แอสซิต์ จาก 37 เกม ถือว่าได้โอกาสลงสนามต่อเนื่อง แต่การเข้ามาของ ฟลอเรนติโน่ เปเรซ พร้อมกับ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ และ กาก้า ทำให้นโยบายการทำทีมเปลี่ยนไป ร็อบเบน ถูกราชันชุดขาวเมินเฉยอย่างเห็นได้ชัด “ผมไม่อยากย้าย แต่สโมสรอยากขายผม” นี่คือคำที่หลุดจากปากปีกรายนี้ ก่อนจะถูกเลหลังให้กับ บาเยิร์น มิวนิค ในซัมเมอร์ 2009
ในด้านทีมชาติ ร็อบเบน เป็นหนึ่งในกำลังหลักของทัพ “ฟลายอิ้งดัตช์แมน” และทำผลงานได้อย่างน่าประทับใจ พา เนเธอร์แลนด์ เฉียดแชมป์ ฟุตบอลโลก 2010 ที่แอฟริกาใต้ ไปอย่างน่าเสียดาย และคว้าอันดับ 3 ฟุตบอลโลก 2014 ที่บราซิล ก่อนจะเลิกเล่นในปี 2017 หลังไม่สามารถพาทีมเข้าไปเล่น ฟุตบอลโลก 2019 รอบสุดท้ายที่รัสเซีย
กลับมาที่ บาเยิร์น มิวนิค ใครจะไปคาดคิดว่า ร็อบเบน จะค้าแข้งกับเสือใต้นานถึง 10 ปี หลังจากอยู่สโมสรนั้นสโมสรนี้อย่างละ 2-3 ปีเท่านั้น เขาได้ประสานงานกับเพื่อนร่วมรุ่นอย่าง ฟร้องก์ ริเบรี่ ด้วยความที่อายุใกล้เคียงกันและเคมีตรองกัน ทำให้ทั้งคู่เข้าขากันได้อย่างไม่ยากเย็น จนได้รับฉายา “ร็อบเบรี่” พาเสือใต้กวาดแชมป์บุนเดสลีกา 8 สมัย, เอเอฟเบ โพคาล 5 สมัย, เดเอฟแอล ซูเปอร์คัพ 5 สมัย และ แชมเปี้ยนส์ ลีก กับ ยูฟ่า ซูเปอร์ คัพ อย่างละ 1 สมัย ตลอดการเล่นด้วยกัน 10 ปี
แม้จะต้องประสบอาการบาดเจ็บแทบจะทุกฤดูกาลจนบรรดาสื่อยกให้เป็น “ปีกกระดูกยุง” แต่เขาก็ลงสนาม 309 เกม ยิง 144 ประตู ก่อนจะอำลาสโมสรดังจากเยอรมันหลังหมดสัญญาในซัมเมอร์นี้ เช่นเดียวกับเพื่อนซี้ของเขาอย่าง ริเบรี่
ท่ามกลางข่าวลือว่าเขาออาจะย้ายกลับไปเล่นให้กับ พีเอสวี อีกครั้ง แต่สุดท้าย ร็อบเบน ได้ออกมาประกาศเลิกเล่นฟุตบอลอาชีพอย่างเป็นทางการในวัย 35 ปี
“มันถึงเวลาที่ต้องก้าวไปยังบทต่อไป ผมมองถึงการที่ได้ใช้เวลากับภรรยาและเด็กๆ มากขึ้น และสนุกไปกับสิ่งที่ดีที่รออยู่ข้างหน้า” ร็อบเบนแถลงยุติเส้นทางอาชีพที่ดำเนินมานาน 19 ปี

เพิ่มเติม >> https://www.albacetetomalacalle.com/%e0%b9%81%e0%b8%97%e0%b8%87%e0%b8%9a%e0%b8%ad%e0%b8%a5%e0%b8%a7%e0%b8%b1%e0%b8%99%e0%b8%99%e0%b8%b5%e0%b9%89-%e0%b8%84%e0%b8%b9%e0%b9%88%e0%b9%84%e0%b8%ab%e0%b8%99%e0%b8%94%e0%b8%b5/

No comments:

Post a Comment